วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ชวนชม จันทรุปราคาเต็มดวง ในรอบ 4 ปี

           ในปีพศ.2554 นี้จะมีปรากฏการณ์เกี่ยวอุปราคา 6 ครั้งบนโลก โดยเป็นสุริยุปราคา 4 ครั้ง และ จันทรุปราคาอีก 2 ครั้ง แต่เป็นที่น่าเสียดายสำหรับประเทศไทยจะไม่มีโอกาสได้เห็นสุริยุปราคาในปีนี้เลย แต่จะเห็นจันทรุปราคาที่เกิดขึ้นทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งอุปราคาทั้ง 6 ครั้งบนโลก ได้แก่

      1) สุริยุปราคาบางส่วน (Partial Solar Eclipse) วันที่ 4 มกราคม 2554 เกิดขึ้นบริเวณยุโรปและอาฟริกาตอนบน และไม่สามารถมองเห็นสุริยุปราคาได้ในประเทศไทย
      2) สุริยุปราคาบาง  ส่วน (Partial Solar Eclipse) วันที่ 1 มิถุนายน 2554 เกิดขึ้นทางแถบขั้วโลกเหนือและแคนาดาตอนบน ไม่สามารถเห็นได้ในประเทศไทย
      3) จันทรุปราคาเต็มดวง (Total Lunar Eclipse) วันที่ 15 มิถุนายน 2554 เกิดขึ้นทางแถบเอเซีย ยุโรป และอาฟริกาบางส่วน สำหรับประเทศไทยเห็นได้ตลอดช่วง หลังเที่ยงคืน
       4) สุริยุปราคาบางส่วน (Partial Solar Eclipse) วันที่ 1 กรกฏาคม 2554 เกิดขึ้นในมหาสมุทรแอนตาร์คติกทางตอนใต้ของทวีปอาฟริกา ซึ่งไม่สามารถมองเห็นในประเทศไทย
       5) สุริยุปราคาบางส่วน (Partial Solar Eclipse) วันที่ 25 พฤศจิกายน 2554 เกิดขึ้นในแถบทวีปแอนตาร์คติก ไม่สามารถเห็นได้ในประเทศไทย
       6) จันทรุปราคาเต็มดวง (Total Lunar Eclipse) วันที่ 10 ธันวาคม 2554 เห็นได้เป็นส่วนใหญ่ของโลก และ สำหรับประเทศไทยเห็นได้ตลอดทั้งช่วง ตอนหัวค่ำ    
 
รายละเอียดของอุปราคาทั้ง 6 ครั้ง   มีดังนี้
     สุริยุปราคาบางส่วน (Partial Solar Eclipse) วันอังคารที่ 4 มกราคม 2554
          ตรงกับวันแรม 14 ค่ำ เป็นสุริยุปราคาครั้งแรกที่เกิดขึ้นในปี 2554 แต่เป็นแบบบางส่วน มองเห็นได้บริเวณแถบยุโรป และตอนเหนือของทวีปอาฟริกา โดยมีสัมผัสแรกเกิดขึ้นที่ประเทศอัลจีเรีย เวลา 06.40 UT จากนั้นแนวอุปราคาจะเคลื่อนที่ไปทางยุโรปผ่านสเปน ฝรั่งเศส สวีเดน และตอนเหนือของทวีปเอเซีย โดยมีจุดศูนย์กลางการเกิดอุปราคานานที่สุด อยู่ที่ประเทศสวีเดน และสิ้นสุดแถบมองโกเลียเวลา 11.00 UT ซึ่ง Node ของดวงจันทร์ขณะนั้นอยู่ในกลุ่มดาวคนยิงธนู (Sagittarius)
          สุริยุปราคาบางส่วนครั้งนี้เป็นครั้งที่ 14 ของการหวนกลับมาของอุปราคา หรือที่เรียกว่า ซารอส(Saros) ลำดับที่ 151 และไม่สามารถมองเห็นได้ในประเทศไทย

สุริยุปราคาบางส่วน (Partial Solar Eclipse) วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2554
        ตรงกับวันแรม 15 ค่ำ เป็นสุริยุปราคาบางส่วนที่เกิดขึ้น ทางแถบขั้วโลกเหนือและแคนาดาตอนบน ทำให้ ไม่สามารถมองเห็นได้ในประเทศไทย
          สุริยุปราคาบางส่วนครั้งนี้ เริ่มต้นทางแถบไซบีเรียและจีนตอนบน เวลา 19.25 UT ข้ามชายฝั่งอาร์คติก ไปสิ้นสุดที่มหาสมุทรแอตแลนติก เวลา 23.06 UT ซึ่งขณะนั้น Node ของดวงจันทร์อยู่ในกลุ่มดาววัว (Taurus) พอดี สุริยุปราคาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 68 ของการหวนกลับมาของอุปราคา หรือที่เรียกว่า ซารอส(Saros) ลำดับที่ 118

สุริยุปราคาบางส่วน (Partial Solar Eclipse) วันศุกร์ที่ 1 กรกฏาคม 2554
        ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เป็นสุริยุปราคาบางส่วนที่เกิดขึ้นใกล้ชายฝั่งแอนตาร์คติก ทางใต้ของทวีปอาฟริกา ไม่สามารถมองเห็นได้ในประเทศไทยเช่นกัน เวลาที่เกิดปรากฏการณ์ 08.38 UT และเป็นครั้งแรกของซารอสลำดับที่ 156

สุริยุปราคาบางส่วน (Partial Solar Eclipse) วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2554
         ตรงกับวันแรม 15 ค่ำ เป็นสุริยปุราคาครั้งสุดท้ายของปี 2554 เกิดขึ้นขณะที่ Node ของดวงจันทร์อยู่ที่กลุ่มดาวแมงป่อง เกิดขึ้นบริเวณทวีปแอนตาร์คติกทั้งหมดเวลา 06.20 UT สุริยุปราคาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 53 ของการหวนกลับมาของอุปราคา หรือที่เรียกว่า ซารอส(Saros) ลำดับที่ 123 ไม่สามารถเห็นได้ในประเทศไทยเช่นกัน


จันทรุปราคาเต็มดวง (Total Lunar Eclipse) วันพฤหัสที่ 16 มิถุนายน 2554
        ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ หลังจากการเกิดสุริยุปราคาบางส่วนในวันที่ 1 มิถุนายน อีก 15 วันต่อมาดวงจันทร์ก็เคลื่อนมาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ และเข้าไปอยู่ในเงามืดของโลกพอดี ทำให้เกิดจันทรุปราคาเต็มดวงซึ่งอยู่ในแนวกึ่งกลางเงามืดของโลกพอดี จึงทำให้ช่วงเวลาที่ดวงจันทร์อยู่ในเงามืดนานที่สุด
        พื้นที่ในการสังเกตปรากฏการณ์ครั้งนี้จะครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก ยกเว้นเพียงทวีปอเมริกาเหนือและแคนาดาเท่านั้น สำหรับประเทศไทยจะเห็นปรากฏการณ์ครั้งนี้ตลอดช่วงจนดวงจันทร์กำลังจะตก
       

โดยที่สัมผัสแรกที่ดวงจันทร์เข้าไปอยู่ในเงามัวเวลา 17.24 UT หรือ 00.24 น. หลังเที่ยงคืน หรือวันใหม่ของวันที่ 16 มิถุนายน ตามเวลาในประเทศไทย แต่ไม่สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ช่วงนี้
        จนกระทั้งเริ่มเข้าสัมผัสเงามืดเวลา 18.22 UT หรือ 01.22 น. ตามเวลาของประเทศไทย จนมืดหมดทั้งดวงเวลา 19.22 UT หรือ 02.22 น.
        โดยเข้าเงามืดสูงสุดเวลา 20.12 UT หรือ 03.12 น. และเริ่มออกจากเงามืดเวลา 21.02 UT หรือ 04.02 น. รวมเวลาอยู่ในเงามืดนาน 1 ชั่วโมง 40 นาที และออกจากเงามืดจนหมดเวลา 22.02 UT หรือ 05.02 น. ตามเวลาประเทศไทย กินเวลาทั้งสิ้นนาน 3 ชั่วโมง 40 นาที



















จันทรุปราคาเต็มดวง (Total Lunar Eclipse) วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2554
         ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ คือหลังจากที่เกิดสุริยุปราคาบางส่วนในวันที่ 25 พฤศจิกายน อีก 15 วันต่อมาดวงจันทร์ก็เคลื่อนไปอยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ โดยเข้าไปอยู่ในเงามืดของโลกเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง แต่ก็ไม่ได้เข้าไปอยู่ในแนวกึ่งกลางเงามืดเหมือนวันที่ 15 มิถุนายน 2554
         สำหรับพื้นที่ในการเห็นปรากฏการณ์นี้จะกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก ยกเว้นทวีปอเมริกาใต้ และชายฝั่งตะวันตกของอาฟริกาเท่านั้น สำหรับประเทศไทยจะเห็นปรากฏการณ์ครั้งนี้ตลอดทั้งช่วง
       
 โดยที่ดวงจันทร์เริ่มเข้าสัมผัสเงามัวตั้งแต่เวลา 11.33 UT หรือ 18.33 น. ของวันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม ตามเวลาประเทศไทย แต่ก็ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
         จนกระทั้งเริ่มสัมผัสเงามืดเวลา 12.45 UT หรือ 19.45 น. ตามเวลาประเทศไทย และเข้าในเงามืดจนหมดเวลา 14.06 UT หรือ 21.06 น. แล้วเริ่มออกจากเงามืดเวลา 14.57 UT หรือ 21.57 น. รวมเวลาที่อยู่ในเงามืดนาน 51 นาที แล้วออกจากเงามืดจนหมดเวลา 16.17 UT หรือ 23.17 น. ตามเวลาประเทศไทย กินเวลานานทั้งสิ้น 3 ชั่วโมง 32 นาที



.........................................................................................................................................

             ชวนดู จันทรุปราคา เต็มดวงครั้งแรกในรอบ 4 ปี หลังเที่ยงคืน 15 มิถุนายนนี้ นอกจากนั้นยังมีปรากฏการณ์ดวงจันทร์บังดาวฤกษ์ ในเวลาเดียวกันอีกด้วย... งานนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด!!


 
            กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) หรือ สดร. ร่วมกับเครือข่ายดาราศาสตร์ฉะเชิงเทราและสงขลา แถลงข่าวเชิญชวนคนไทยรอชม 2 ปรากฏการณ์บนท้องฟ้า คือ "จันทรุปราคาเต็มดวงและจันทรุปราคาบังดาวฤกษ์" หลังเที่ยงคืนวันที่ 15 มิถุนายน หรือเช้ามืดของวันที่ 16 มิถุนายน 2554 ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าว เป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญและหาดูได้ยากมาก เพราะจันทรุปราคาในครั้งนี้ เป็นจันทรุปราคาที่เต็มดวงในรอบ 4 ปีเลยทีเดียว
            ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ จันทรุปราคา จะกินเวลานานถึง 1 ชั่วโมง 40 นาที หรือยาวนานถึง 100 นาที นับว่าเป็นเวลาที่นานที่สุดตั้งแต่เกิดจันทรุปราคามา โดยจะเริ่มต้นในเวลาประมาณ 00.25 น. ของวันที่ 16 มิถุนายน ดวงจันทร์เริ่มแตะเงามัว แต่เราจะสังเกตไม่พบการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งดวงจันทร์เข้าไปในเงามัวลึกมากยิ่งขึ้น คาดว่าจะเริ่มสังเกตว่าพื้นผิวดวงจันทร์โดยรวมดูหมองคล้ำลงตั้งแต่เวลา ประมาณ 01.00 น.
            ช่วงเวลาที่เกิด จันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์จะถูกเงาโลกบดบังหมดทั้งดวง แต่ดวงจันทร์ก็ไม่ได้มืดมิด ยังสามารถมองเห็นดวงจันทร์มีสีน้ำตาล ส้ม หรือแดง และอาจมีสีฟ้าปะปนอยู่ได้เล็กน้อย
           จากนั้น ในเวลา 03.13 น. ดวงจันทร์จะเข้าใกล้ศูนย์กลางเงาโลกมากที่สุด จึงคาดว่าเป็นเวลาที่ดวงจันทร์มืดคล้ำที่สุด (หากท้องฟ้าเปิดตลอดปรากฏการณ์) และในเวลา 04:03 น. จะเป็นเวลาที่จันทรุปราคาเต็มดวงสิ้นสุดลง

ขั้นตอนการเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง 16 มิถุนายน 2554
                 00.25 น. : ดวงจันทร์เริ่มเข้าสู่เงามัวของโลก...ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง
               01.23 น. : เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน...ดวงจันทร์เริ่มแหว่ง
              02.22 น. : เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง...ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดทั้งดวง
             03.13 น. : กึ่งกลางของปรากฏการณ์...ดวงจันทร์เข้าไปในเงาลึกที่สุด
            04.03 น. : สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง...ดวงจันทร์เริ่มออกจากเงามืด
          05.02 น. : สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน...ดวงจันทร์ทั้งดวงออกจากเงามืด
          06.01 น. : ดวงจันทร์พ้นจากเงามัวของโลก

กำหนดเวลาของจังหวัดต่าง ๆ ที่สามารถมองเห็น จันทรุปราคา 16 มิถุนายน 2554
           กรุงเทพฯ เริ่มบัง(แบบเต็มดวง) เวลา 02.24 น. สิ้นสุดการบังเวลา 03.10 น.
          เชียงใหม่ เริ่มบังเวลา 02.10 น. สิ้นสุดการบังเวลา 03.19 น.
           นครราชสีมา เริ่มบังเวลา 02.27 น. สิ้นสุดการบังเวลา 03.14 น.
           ประจวบคีรีขันธ์ เริ่มบังเวลา 02.29 น. สิ้นสุดการบังเวลา 03.03 น.
           ระยอง เริ่มบังเวลา 02.31 น. สิ้นสุดการบังเวลา 03.06 น.
           อุบลราชธานี เริ่มบังเวลา 02.36 น. สิ้นสุดการบังเวลา 03.14 น.
            ภาคใต้ตอนล่าง ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไป ไม่เห็นการบังนี้
           บริเวณตอนล่างของจังหวัดตราด จะเห็นการบังในเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
           สำหรับใครที่สนใจชมปรากฎการณ์ทางดาราศาสตร์ดังกล่าว สามารถชมได้ด้วยตาเปล่าทั่วทั้งประเทศ ยกเว้นเพียงภาคใต้ตอนล่าง ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ลงไป โดยให้สังเกตทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จะเห็นดวงจันทร์สีแดงอิฐอยู่สูงจากเส้นขอบฟ้าประมาณ 30 องศา และถ้าหากท้องฟ้าโปร่ง ไม่มีเมฆบัง และไม่มีแสงไฟรบกวน ก็จะมีโอกาสเห็นทางช้างเผือกในขณะที่ดวงจันทร์ถูกเงาของโลกบังทั้งดวงอีกด้วย
           ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการ สดร. กล่าวว่า นอกจากคนไทยจะได้ชมปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงแล้ว ยังจะได้ชมปรากฏการณ์ จันทรุปราคาบังดาวฤกษ์ ในเวลาใกล้เคียงกันอีกด้วย ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ ที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าไปบดบังดาวฤกษ์ที่มีชื่อว่า 51 Ophiuchi(โอฟีอุชชี) ซึงเป็นดาวฤกษ์สีขาวที่อยู่นอกระบบสุริยะ และมีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์มาก โดยดาวฤกษ์ดังกล่าว อยู่ไกลจากโลกมากถึง 446.35 ปีแสง ทั้งนี้เราสามารถมองเห็นดาวดาวฤกษ์ 51 โอฟีอุชชี ได้ในเวลาประมาณ 02.08 น. โดยจะเริ่มหายเข้าไปหลังดวงจันทร์สีแดงอิฐ และโผล่พ้นดวงจันทร์ออกมาในเวลา 02.12 น.
          ย่างไรก็ตาม ดร.ศรัณย์ ยังกล่าวอีกว่า ผู้ที่พลาดชม 2 ปรากฏการณ์บนท้องฟ้า "จันทรุปราคาเต็มดวงและจันทรุปราคาบังดาวฤกษ์" นั้น สามารถรอชมปรากฏการณ์บนท้องฟ้าส่งท้ายปีได้อีกครั้ง ในวันที่ 10 ธันวาคมนี้
         ส่วนผู้ที่รอชมปรากฏการณ์ดังกล่าว ทาง สดร. ได้ร่วมกับเครือข่ายทางดาราศาสตร์ในจังหวัดฉะเชิงเทรา และสงขลา ตั้งจุดสังเกตที่ จ. เชียงใหม่ จ.ฉะเชิงเทรา และ จ.สงขลา อีกทั้งมีการถ่ายทอดสดภาพปรากฏการณ์จากทั้งสามแห่ง ผ่านทางเว็บไซต์ของสถาบัน ที่ www.narit.or.th ด้วย


ขอขอบคุณ :  ข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
                       อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก youtube.com โพสต์โดย NongEarthNarit , รายการ ข่าวเช้าวันใหม่


กระผมไม่เกี่ยวกับจันทรุปราคา นะครับ... ขอร้อง  อย่าเข้าใจผิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น